เก็บตกประเด็นเด็ดสัปดาห์สุดเดือด ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก

Analyze-Premier-League-Match-Day-21-SPACEBAR-Thumbnail.jpg
  • เกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อุดมไปด้วยเหตุการณ์มากมาย ทั้งบิ๊กแมตช์สุดเร้าใจ ไปจนถึง สถิติสุดเหนือจริงของ เออร์ลิง ฮาแลนด์
Share with trust

ปืนใหญ่ร้อนแรงต่อเนื่อง

หลังจากฟอร์มแรงมาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า มักถูกบรรดากูรูบางสำนัก ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าพวกเขาจะยืนระยะได้นานขนาดไหน บ้างก็เปรียบเทียบไปยังมุกสุดคลาสสิค ที่ว่าการที่อาร์เซนอลนำจ่าฝูง ก็เหมือนช้างขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ไม่มีใครรู้ว่ามันขึ้นไปได้อย่างไร แต่สักวันมันจะตกลงมาอย่างแน่นอน  

และยิ่งเมื่อแนวรุกตัวหลัก ที่เข้ามายกระดับฟอร์มของทีมในปีนี้อย่าง กาเบรียล เชซุส ต้องพักยาว หลังโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน จากการรับใช้ชาติบราซิลในบอลโลกกาตาร์ที่ผ่านมา ทุกคนก็ต่างคิดกันว่า คงถึงเวลาแล้วล่ะที่กิ่งไม้จะรับน้ำหนักช้างตัวนี้ไม่ไหว  

แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หลังจากมาผ่านเกินครึ่งฤดูกาล โดยเฉพาะในเกมล่าสุดที่พวกเขาเจอทีมแกร่งฟอร์มดีอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งถือว่าเป็นงานหิน แต่พลพรรคปืนใหญ่ที่อุดมไปด้วยสตาร์วัยกะเตาะ ก็เบียดเอาชนะไปได้ในเกมสุดเดือดระดับพริก 10 เม็ด ด้วยสกอร์ 3 ประตูต่อ 2 โดยได้ประตูชัยในนาทีสุดท้ายจากศูนย์หน้าดาวโรจน์ของทีมอย่าง เอ็ดดี เอ็นเคเทียห์ ผู้สืบทอดเบอร์ 14 ของ เธียร์รี่ อองรี ยอดกองหน้าระดับตำนานของทีมปืนใหญ่
AFP
Photo: AFP
ซึ่งประตูชัยในนาทีที่ 90 ของ เอ็นเคเทียห์ คือประตูแรกในรอบหลายปี ที่นักเตะจากอาร์เซนอลยิงเอาชนะทีมปีศาจแดงได้ในเวลาท้ายเกม นับตั้งแต่ที่อองรีเคยทำไว้ในปี 2007 ทำให้สถิติสุดเหลือเชื่อนี้ ก็เรียกได้ว่าลบคำครหาในการสวมเสื้อเบอร์ 14 สุดกดดันนี้ของเจ้าตัวไปได้ไม่น้อย  

ดังนั้นผลงานยิงประตูต่อเนื่อง รวมถึง 2 ประตูในเกมล่าสุดของ เอ็ดดี เอ็นเคเทียห์ ก็ทำให้เราตอบได้เลยว่า ขาดเชซุสไป ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สำหรับทีมของกุนซือฟอร์มแรง อย่าง มิเกล อาร์เตต้า 

ปัจจุบัน ผ่านไป 19 เกม อาร์เซนอลเก็บได้ถึง 50 คะแนน ครองจ่าฝูงตารางพรีเมียร์ลีก นำห่างที่ 2 แชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ถึง 5 แต้ม แถมแข่งน้อยกว่า 1 นัด เส้นทางการลุ้นแชมป์ของทีมปืนโตยังคงสดใสเรืองรอง 

‘บิ๊กแมตช์’ ระหว่างทีม ‘กลางตาราง’

ในขณะที่เกมระหว่างคู่แข่งเคี่ยวแชมป์ ที่หายหน้าหายตากันนับทศวรษอย่าง อาร์เซนอล กับ แมนยู กลับมาดุเดือดอีกครั้งนั้น ในทางกลับกัน บิ๊กแมตช์ระหว่างทีมที่ในฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาปะทะกันในรอบชิงของฟุตบอลถ้วยบนเกาะอังกฤษถึงสองรายการ แต่ในปีนี้ พวกเขาโคจรมามาพบกันในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก โดยที่เกมผ่านไปครึ่งฤดูกาลเข้าไปแล้ว แต่ลิเวอร์พูลยังอยู่แค่ที่ 9  ส่วนทีมเยือนอย่างเชลซีหนักเข้าไปอีกอยู่ถึงที่ 10 ของตาราง ซึ่งฟอร์มของทั้งคู่เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงวิกฤตเลยทีเดียว 

ในเกมที่แอนฟิลด์ เราจึงได้เห็นสองยักษ์ล้มที่ต่างฝ่ายต่างพยายามประคองตัวเพื่อลุกกลับมายืนอีกครั้งให้ได้ โดยทางลิเวอร์พูลนั้นพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีในสนาม เยอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่หงส์แดง จัดทีมในเกมที่ 1000 ของเขาในชีวิตการคุมทีม ด้วยการส่งกองกลางชุดใหม่ที่อุดมไปด้วยความสด โดยเฉพาะตำแหน่งกองกลางตัวรับที่ เจ้าหนูสเปนวัย 18 ปี อย่าง สเตฟาน บายเซติช ได้รับโอกาสลงเล่นในเกมใหญ่ ไขเกมรับที่หลวมด้วยการใช้กองกลางตัวเก๋าสารพัดประโยชน์อย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ลงเล่นแบคขวาแทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 
AFP
Photo: AFP
ส่วนทางด้านเชลซีก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาพยายาม ฟื้นฟูทีมกลับมาด้วยเม็ดเงิน เห็นได้จากการจับจ่ายใช้สอยในระดับที่เรียกได้ว่าบ้าคลั่ง โดยนับตั้งแต่เจ้าของใหม่อย่าง ทอดด์ โบห์ลี เข้ามาบริหารทีมพวกเขาใช้เงินเสริมทัพไปมากกว่า 400 ล้านปอนด์เข้าไปแล้ว  

ซึ่งเกมนี้ผลการแข่งขันก็ออกมาแบบคาดเดาได้ เสมอกันไปแบบไร้ประตู รูปเกมทั้งคู่ดูมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น แต่โดยรวมก็ยังคงผิดพลาดกันเยอะ โดยเฉพาะในแดนหน้าที่ยังคงไม่เด็ดขาด ซึ่งในขณะที่ลิเวอร์พูลดูดีขึ้นในช่วงต้นครึ่งหลัง เม็ดเงินที่เชลซีหว่านไปก็เริ่มผลิดอก เมื่อ แกรห์ม พอตเตอร์ นายใหญ่สิงห์บลู ส่งแนวรุกป้ายแดงแบรนเนมด์ อย่าง มิไคโล มูดริค ลงสนามเป็นเกมแรก ปีกซ้ายมูลค่า 100 ล้านยูโรก็แผลงฤทธิ์อย่างร้อนแรง เล่นเอาแบ็คขวาในตอนนั้นอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ต้องยอมเสียใบเหลือง ก่อนสุดท้ายจะโดนเปลี่ยนตัวออก เล่นเอาลิเวอร์พูลระส่ำไปพักใหญ่ๆ จนได้แค่ประคองตัวให้จบด้วยผลเสมอ
AFP
Photo: AFP
ซึ่งในภาพรวม แม้ผลจะจบด้วย 1 แต้มของทั้ง 2 ฝั่ง แต่การมาเสมอในถิ่นแอนฟิลด์ซึ่งถือว่าไม่แย่ อีกทั้งฟอร์มการเล่นนักเตะใหม่ของเชลซี ทั้ง มูดริค และ เบอนัวต์ บาเดียชิล แนวรับฝรั่งเศสคนใหม่ ทำให้เราต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีใช้เงินของเชลซีนั้น ดูจะมีอนาคตกว่าทีมจากลุ่มแม่น้ำเมอซี่ไซต์อยู่หน่อยๆ แต่สิ่งที่ทัพหงส์แดงแสดงออกมาในเกมนี้ ทั้งความมุ่งมั่นหรือความใจสู้ ของบรรดานักเตะดาวรุ่ง ก็ถือเป็นสัญญานในเชิงบวกที่บรรดาเดอะค็อป อาจจะใจชื้นขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน 

สถิติระดับ ‘เหนือมนุษย์’ ของเออร์ลิง ฮาแลนด์ 

เกมล่าสุดที่ทัพ “เรือใบสีฟ้า” สยบ วูล์ฟแฮมป์ตัน ไป 3-0 ศูนย์หน้าร่างยักษ์ชาวนอร์เวย์ ได้ทำการกดแฮตทริกที่ 4 ของตัวเองบนเวทีพรีเมียร์ลีก ทั้งๆ ที่พึ่งเล่นในลีกผู้ดีปีแรกเท่านั้น ทำให้สถิติการทำประตูกองหน้ารายนี้อยู่ในระดับเหนือจริงเข้าไปแล้ว 

ด้วยสถิติทำแฮตทริกถึง 4 ครั้ง เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 19 นัดเท่านั้น ทิ้งห่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย ดาวยิงระดับตำนานของทัพผีแดง ที่ทำไว้ 65 นัด 

แถม 25 ประตูของเจ้าตัวนั้นเป็นจำนวนที่มากกว่าดาวซัลโวปีล่าสุดอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซน ฮึง-มิน ทำไว้ที่ 23 ประตู ทั้งๆ ที่ฮาแลนด์ยังเหลือเกมให้เล่นอีกถึง 18 นัดเลยทีเดียว
AFP
Photo: AFP
ก็ไม่แน่ว่าถ้าฮาแลนด์ยังคงร้อนแรงแบบนี้ต่อไป เขาอาจจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อเส้นทางการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในรอบทศวรรษของอาร์เซน่อล ก็เป็นได้ 

อ้างอิง: